⚡ ไฟกระพริบบ่อย
⚡ กลิ่นไหม้จากปลั๊ก
⚡ เบรกเกอร์ทริปบ่อย
⚡ ปลั๊กร้อนผิดปกติ
⚡ ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากปลั๊ก
หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรหยุดใช้งานทันทีและเรียกช่างตรวจสอบ
⚡ ไฟกระพริบบ่อย
⚡ กลิ่นไหม้จากปลั๊ก
⚡ เบรกเกอร์ทริปบ่อย
⚡ ปลั๊กร้อนผิดปกติ
⚡ ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากปลั๊ก
หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรหยุดใช้งานทันทีและเรียกช่างตรวจสอบ
⚡การเลือกเบรกเกอร์ควรดูค่ากระแส (A) ให้เหมาะสมกับโหลด
⚡การเลือกชนิดเบรกเกอร์ และเลือกชนิดสายไฟ ให้เหมาะสม
⚡เลือกยี่ห้อที่ได้รับมาตรฐาน มอก. IEC
⚡เช็กปลั๊กและอุปกรณ์ว่ามีความร้อนหรือไม่ใช้หลังมือแตะเบา ๆ (ปลอดภัยกว่า) หากพบว่าปลั๊ก สวิตช์ หรือตัวอุปกรณ์ ร้อนมากผิดปกติ อาจมีการหลวมหรือโหลดเกิน
⚡ฟังเสียงหรือดมกลิ่นผิดปกติ ให้เดินเช็กบริเวณจุดที่มีการใช้งานไฟฟ้า ได้ยินเสียง "ซ่า ๆ" จากปลั๊กหรือสวิตช์ได้กลิ่นไหม้หรือร้อนผิดปกติ เป็นสัญญาณอันตราย ต้องหยุดใช้งานทันที
⚡ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานก่อนเกิดปัญหาไฟดับหลังจากเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าบางตัว เช่น เตารีด เครื่องทำน้ำอุ่น ปั๊มน้ำ อาจเกิดจากโหลดเกินหรืออุปกรณ์ชำรุดลองปลดปลั๊กอุปกรณ์นั้นออก แล้วรีเซตเบรกเกอร์อีกครั้ง
⚡เช็กเบรกเกอร์ว่าอยู่ในตำแหน่ง ON หรือ Tripถ้าไฟบางจุดดับ แต่บางจุดยังติด ให้เปิดตู้ไฟดูว่าเบรกเกอร์ “ตัด” หรือไม่ หากกดขึ้นแล้วตัดอีก แสดงว่ามีโหลดเกินหรือมีไฟรั่ว ห้ามเปิดซ้ำหลายครั้ง เสี่ยงไหม้ ให้หยุดและเรียกช่างทันที
⚡ลองทดสอบไฟรั่วด้วยปุ่ม “TEST” บนเครื่องตัดไฟ (RCD/ELCB) อุปกรณ์ตัดไฟรั่วควรตัดทันทีเมื่อกดปุ่ม TEST ถ้าไม่ตัด แสดงว่าอุปกรณ์เสีย และระบบป้องกันไฟรั่ว ไม่ทำงาน ควรเปลี่ยนทันทีเพื่อความปลอดภัย
⚡ เบรกเกอร์ตัดบ่อยผิดปกติ
⚡ ปลั๊กหรือสวิตช์มีเสียง "ซ่า ๆ" / กลิ่นไหม้
⚡ อุปกรณ์ไฟฟ้าร้อนผิดปกติ
⚡ ไฟกระพริบ แสงหรี่ลงเป็นระยะ
⚡ ระบบไฟดูด/ตัดไฟรั่วไม่ทำงาน หากกดปุ่ม TEST บน RCD / ELCB แล้วไฟไม่ตัด
⚡ โหลดไฟฟ้าในบ้านเกิน (ใช้ไฟมากเกินไป)เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิดพร้อมกัน เช่น แอร์ + ไมโครเวฟ + เครื่องทำน้ำอุ่น + เตารีด สายไฟและเบรกเกอร์รับโหลดไม่ไหว ทำให้แรงดันตกทันที
⚡ สายไฟเล็กเกินมาตรฐาน หรือเดินสายไม่ถูกต้อง หากใช้สายไฟเบอร์เล็กเกิน หรือเดินสายยาวมากโดยไม่คิดโหลด แรงดันจะค่อย ๆ ตกตามระยะทาง ทำให้ไฟอ่อนในบางห้องของบ้าน
⚡ สายไฟเสื่อม อายุการใช้งานนาน สายไฟที่ใช้มาหลายปี ฉนวนเสื่อม จุดต่อหลวม ทำให้แรงดันตก และเสี่ยงไฟลัดวงจรด้วย
⚡ จุดต่อสายหลวม (Loose Connection)เป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้ไฟตกเป็นระยะ ๆ พบได้ใน:ปลั๊ก สวิตช์ ตู้ไฟ จุดต่อในฝ้า เมื่อหน้าสัมผัสไม่แน่น → ความต้านทานสูง → แรงดันตกทันที
⚡ สายดินไม่มี หรือระบบกราวด์มีปัญหา กราวด์ไม่สมบูรณ์อาจทำให้กระแสไฟเดินไม่สมดุล ส่งผลให้ไฟตกหรือไฟดูดได้
ควรเลือกตู้โหลดที่มีเบรกเกอร์กันดูด และรองรับโหลดในบ้านจริง
ควรเลือกยี่ห้อตู้โหลด ที่มีมาตรฐาน และ มอก.และสากลเขายอมรับ
เลือกช่างผูชำนาญมาติดตั้ง เพราะช่างจะเป็นคนออกแบบ ติดตั้ง ภายใต้เงื่อนไขของราคา
ตรวจด้วยเบรกเกอร์กันดูด หรือเครื่องทดสอบไฟรั่ว
สังเกตุอาการ ถ้ารู้สึกว่าจีดๆหรืดผิดปกติให้คิดก่อนเลยว่าไฟรั่วแล้วหาช่างเข้ามาแก้ไข
เลือกขนาดสายไฟให้เหมาะกับโหลดไฟฟ้า การเลือกสายไฟผิดขนาดเป็นสาเหตุหลักของไฟรั่ว–ไฟไหม้ ควรเลือกสายตามมาตรฐาน
เดินสายให้เป็นระเบียบ ไม่ตัดมุม และอยู่ในท่อร้อยสาย การเดินสายที่ดีต้อง ไม่พาดมั่ว ไม่ตีโค้งแหลม อยู่ในท่อ PVC / EMT / รางไวร์เวย์
จุดต่อทุกจุดต้องแน่น และใช้เทปพันสายแบบมาตรฐาน จุดต่อสายหลวมคือสาเหตุอันดับต้น ๆ ของ “ไฟไหม้”
เลือกสินค้าที่ผ่าน มอก. เท่านั้น
เลือกสินค้ามือ 1 เท่านั้น
เลือกซื้อร้านที่ใว้ใจได้
สายไฟเก่าชำรุด หรือฉนวนแตกเมื่อฉนวนสายไฟเสื่อมสภาพ เกิดรอยแตกหรือถลอก สายไฟจะสัมผัสกันหรือแตะโครงเหล็ก ทำให้เกิดไฟลัดวงจรทันที สาเหตุนี้พบบ่อยในบ้านที่ใช้งานเกิน 15-20 ปี
จุดต่อสายไฟหลวม หรือไม่ได้มาตรฐาน งานต่อสายที่ไม่แน่น เช่น บิดสายธรรมดา ใช้เทปพันคุณภาพต่ำ จะทำให้เกิดความร้อนสะสม จนลุกไหม้หรือชอร์ตได้ สาเหตุนี้อันตรายที่สุดและมักเกิดในฝ้า–ตู้ไฟ
อุปกรณ์ไฟฟ้าเสื่อม หรือใช้งานเกินโหลด ปลั๊กพ่วงราคาถูก เบรกเกอร์เสื่อม สวิตช์ไหม้ หรือโหลดไฟมากเกินไป เช่น เปิดแอร์ + เตารีด + เครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมกัน ทำให้ กระแสไฟเกินจนวงจรลัด และเบรกเกอร์ตัด
ปลั๊กพ่วงที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้ไฟไหม้ได้
สายไฟและหน้าสัมผัสคุณภาพต่ำ ทำให้ร้อนง่าย
ไม่มีระบบป้องกันไฟเกิน หรือไฟกระชาก
จุดเชื่อมต่อไม่แน่น หลวมง่าย เกิดประกายไฟ
ตู้เมนไฟฟ้า (MDB / Load Center)ตรวจดูว่าเบรกเกอร์ทำงานปกติ ไม่มีรอยไหม้หรือกลิ่นผิดปกติ เช็กว่ามีการเดินสายที่แน่น ไม่หลวม ตรวจดูอุณหภูมิ หาก ร้อนกว่าปกติ อาจเกิดจากโหลดเกินหรือหน้าสัมผัสหลวม
ปลั๊กไฟ / เต้ารับทั่วบ้าน มองหารอยดำไหม้ กลิ่นไหม้ หรือประกายไฟเวลาเสียบ–ถอด เขย่าเบา ๆ ถ้าหลวมแสดงว่าเริ่มเสื่อม หากใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูง ควรตรวจว่าอยู่บนวงจรที่เหมาะสม
สายไฟและจุดเชื่อมต่อ ตรวจดูสายไฟตามผนัง ฝ้า เพดาน ว่าไม่มีรอยแตกหัก ฉนวนกรอบ หรือถูกหนูกัด ขั้วต่อสายไฟตามกล่องพักสายต้อง แน่น ไม่หลวม สายที่เก่าแข็งหรือซีดเปลี่ยนทันทีเพราะเสี่ยงไฟลัดวงจร
เลือกขนาดหน้าตัด (sq.mm) ให้เหมาะกับโหลดไฟ ขนาดสายไฟต้องสัมพันธ์กับกำลังไฟที่ใช้งาน เพื่อป้องกัน ความร้อนสูงเกิน–ไฟละลาย–ไฟลุกไหม้
เลือกยี่ห้อที่มีมาตรฐาน มอก. และฉนวนคุณภาพดี ฉนวนต้องทนความร้อน ไม่กรอบ แตก ลอกง่าย เลือกสายไฟที่มี: มอก. 11-2553 ฉนวน PVC/XLPE อย่างน้อย 70–90°C แกนทองแดงเต็ม ไม่พรุน
เลือกชนิดสายให้ถูกประเภทงาน สายไฟมีหลายชนิด ใช้ผิดประเภท = อันตราย ตัวอย่าง: VAF / THW → เดินฝังผนัง / เดินท่อ VCT / NYY → ใช้นอกอาคาร หรือกลางแจ้ง Lan / Fiber → งานอินเทอร์เน็ตและสื่อสาร สายดิน (Ground) → งานป้องกันไฟดูด ไฟรั่ว
ตรวจดูว่าคันโยกทำงานปกติหรือไม่ ลองโยกเบรกเกอร์ขึ้น–ลงให้สุดทั้งสองจังหวะ ถ้ามีอาการ โยกไม่สุด / แข็งผิดปกติ / เด้งเองบ่อย แสดงว่าเริ่มเสื่อม เบรกเกอร์ที่เสื่อมอาจ ไม่ตัดไฟเมื่อเกิดลัดวงจร อันตรายมาก
สังเกตความร้อนและกลิ่นไหม้ ใช้หลังมือแตะบริเวณหน้าตู้และตัวเบรกเกอร์ ถ้ารู้สึก ร้อนมากกว่าปกติ กลิ่นไหม้ หรือมีรอยดำ ต้องรีบตรวจสอบทันที บ่งบอกถึง โหลดไฟเกิน หรือหน้าสัมผัสหลวม เสี่ยงไฟไหม้สูง
ทดสอบการตัดไฟ (สำหรับเบรกเกอร์ที่มีปุ่ม TEST เช่น RCBO/RCD) กดปุ่ม TEST เพื่อจำลองไฟรั่ว เบรกเกอร์ต้อง ตัดทันที → แปลว่ายังทำงานปกติ ถ้ากดแล้ว ไม่ตัด แสดงว่าเครื่องตัดไฟรั่วเสีย ต้องเปลี่ยนใหม่ทันที
ความชื้นซึมเข้าสู่ปลั๊กไฟ / สวิตช์ เมื่อความชื้นเข้าไปในปลั๊กหรือสวิตช์ จะทำให้เกิดการ ลัดวงจร (Short Circuit) หรือ ไฟรั่วลงดิน จุดที่เสี่ยงที่สุดคือปลั๊กใกล้ห้องน้ำ ครัว และบริเวณที่ฝนสาด
ความชื้นทำให้ฉนวนสายไฟเสื่อมเร็ว สายไฟเก่าหรือเดินในพื้นที่อับชื้น อาจเกิด การแตกร้าว ฉนวนกรอบ เมื่อฉนวนเสีย จะทำให้ไฟรั่วจากแกนทองแดงไปยังผนังหรือโครงสร้างบ้าน อันตรายมากโดยเฉพาะบ้านที่ไม่ได้ติดตั้งระบบสายดิน (Ground)
ตู้ไฟ (Load Center) มีไอน้ำหรือกล่องไม่ปิดสนิท ถ้าไอน้ำเกาะภายในตู้ไฟหรือมีน้ำซึมเข้ามา จะทำให้ เบรกเกอร์เสื่อม, หน้าสัมผัสขึ้นสนิม และเกิดไฟรั่วได้ง่าย อาจทำให้ เบรกเกอร์ตัดบ่อย หรือบางครั้ง ไม่ตัดเมื่อมีอันตราย